รู้จักกับ Retargeting กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ธุรกิจควรนำมาใช้
ในโลกการตลาดดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ หากธุรกิจต้องการเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจและใช้เครื่องมือทางการตลาดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงคือ “Retargeting” หรือการยิงโฆษณาซ้ำไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณมาก่อน
บทความนี้จะอธิบายทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับ Retargeting ตั้งแต่ความหมาย หลักการทำงาน ประเภท ไปจนถึงเหตุผลที่เอเจนซี่โฆษณาแนะนำให้ธุรกิจใช้กลยุทธ์นี้ และวิธีการใช้ Retargeting ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
Retargeting คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน
Retargeting (รีทาร์เก็ตติ้ง) คือ เทคนิคการตลาดดิจิทัลที่มุ่งเน้นการนำเสนอโฆษณาซ้ำไปยังผู้ใช้งานที่เคยเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ของธุรกิจ แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้าหรือใช้บริการ (หรือที่เรียกว่ากลุ่ม “Warm Audience”) กล่าวง่ายๆ คือ การติดตามและแสดงโฆษณาซ้ำๆ กับคนที่เคยสนใจสินค้าหรือบริการของคุณแล้ว เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาและตัดสินใจซื้อในที่สุด
การทำ Retargeting มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลสถิติพบว่า มีเพียง 2% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะทำการซื้อสินค้าหรือบริการทันที นั่นหมายความว่า อีก 98% ที่เหลือคือโอกาสทางธุรกิจที่หากไม่มีการทำ Retargeting ก็อาจสูญเสียไป
หลักการทำงานของ Retargeting: เบื้องหลังกลยุทธ์ทรงพลัง
การทำงานของ Retargeting มีพื้นฐานอยู่บนเทคโนโลยี Cookies ที่จะติดตามพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้:
- การติดตั้ง Tracking Pixel: ธุรกิจจะต้องติดตั้งโค้ดพิเศษที่เรียกว่า “Pixel” หรือ “Tag” ลงบนเว็บไซต์ของตน ซึ่งเป็นโค้ด JavaScript ที่ไม่มองเห็นด้วยตาเปล่า
- การเก็บข้อมูลผู้เข้าชม: เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ Pixel จะทำการบันทึกข้อมูลการเข้าชมและพฤติกรรมต่างๆ ผ่าน Cookies ที่จะถูกเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
- การสร้างกลุ่มเป้าหมาย: ข้อมูลที่เก็บได้จะถูกนำมาใช้ในการสร้างกลุ่มเป้าหมาย (Audience) ตามเงื่อนไขที่ธุรกิจกำหนด เช่น ผู้ที่เข้าชมหน้าสินค้าแต่ไม่ได้ทำการซื้อ
- การแสดงโฆษณา: เมื่อผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายท่องเว็บไซต์อื่นๆ ที่อยู่ในเครือข่ายโฆษณา (Ad Network) พวกเขาจะเห็นโฆษณาของธุรกิจคุณปรากฏขึ้น
- การวัดผลและปรับปรุง: ระบบจะทำการติดตามประสิทธิภาพของโฆษณาและให้ข้อมูลที่สามารถนำมาปรับปรุงแคมเปญได้
ประเภทของ Retargeting ที่ควรรู้
Retargeting สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามวิธีการและแพลตฟอร์มที่ใช้ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของกลุ่มเป้าหมายและวิธีการทำงาน ดังนี้:
1. Pixel-Based Retargeting
Pixel-Based Retargeting เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยใช้ JavaScript Pixel ในการติดตามผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ และแสดงโฆษณาให้พวกเขาเห็นเมื่อเข้าชมเว็บไซต์อื่นๆ
ข้อดี:
- สามารถเริ่มทำได้ทันทีหลังจากผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์
- สามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดตามพฤติกรรมการใช้งาน
- ปรับเปลี่ยนโฆษณาได้ตามหน้าเว็บที่ผู้ใช้เข้าชม
ข้อจำกัด:
- ขึ้นอยู่กับ Cookies ซึ่งบางครั้งอาจถูกบล็อกหรือลบได้
- อาจมีข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวในบางประเทศ
2. List-Based Retargeting
List-Based Retargeting (หรือบางครั้งเรียกว่า CRM Retargeting) ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วของลูกค้า เช่น อีเมล หรือหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มโฆษณาต่างๆ
ข้อดี:
- สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีข้อมูลอยู่แล้วได้โดยตรง
- ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Cookies
- สามารถปรับแต่งข้อความให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง
ข้อจำกัด:
- ต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าที่มีคุณภาพ
- อัตราการจับคู่ (Match Rate) อาจไม่สมบูรณ์
3. Search Retargeting
Search Retargeting มุ่งเน้นไปที่การแสดงโฆษณาให้กับผู้ใช้ที่ค้นหาคำสำคัญ (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมาก่อนก็ตาม
ข้อดี:
- สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณ
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้ที่มีความสนใจเฉพาะ
ข้อจำกัด:
- อาจมีต้นทุนสูงกว่าประเภทอื่นๆ
- ไม่ได้เจาะจงเฉพาะผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก่อน
4. Social Media Retargeting
Social Media Retargeting เป็นการแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้กับผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือเพจโซเชียลมีเดียของธุรกิจ
ข้อดี:
- เข้าถึงผู้ใช้บนแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้เวลาอยู่เป็นจำนวนมาก
- สามารถปรับแต่งรูปแบบโฆษณาได้หลากหลาย (รูปภาพ วิดีโอ คาโรเซล ฯลฯ)
- มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ละเอียดและมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัด:
- แต่ละแพลตฟอร์มมีกฎเกณฑ์และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
- การเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ
ทำไมเอเจนซี่โฆษณาจึงแนะนำให้ใช้ Retargeting?
มีเหตุผลหลายประการที่เอเจนซี่โฆษณาและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลมักแนะนำให้ธุรกิจใช้ Retargeting เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด ดังนี้:
1. เพิ่มอัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate)
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า การทำ Retargeting สามารถเพิ่มอัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้าได้สูงถึง 150% เมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบปกติ เนื่องจากเป็นการโฆษณาที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณมาก่อนแล้ว
2. คุ้มค่าต่อการลงทุน (ROI) สูง
Retargeting มักให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงกว่าการโฆษณารูปแบบอื่น เนื่องจากงบประมาณถูกใช้ไปกับกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสูงกว่า ทำให้ไม่เสียงบประมาณไปกับการแสดงโฆษณาแก่คนที่ไม่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ
จากข้อมูลของ Google พบว่า แคมเปญ Retargeting มี ROI สูงกว่าแคมเปญโฆษณาทั่วไปประมาณ 2-3 เท่า
3. สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
การเห็นโฆษณาของคุณซ้ำๆ จะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น การศึกษาพบว่า ผู้บริโภคจำเป็นต้องเห็นแบรนด์หรือข้อความโฆษณาอย่างน้อย 7-8 ครั้ง ก่อนที่จะจดจำและตัดสินใจซื้อ Retargeting ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างความถี่ในการเห็นโฆษณา (Frequency) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ลดอัตราการทิ้งรถเข็น (Cart Abandonment Rate)
อัตราการทิ้งรถเข็นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70-80% Retargeting เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้ลูกค้าที่ทิ้งรถเข็นกลับมาทำการซื้อให้เสร็จสิ้น โดยการแสดงโฆษณาที่แสดงสินค้าที่พวกเขาเคยใส่ในรถเข็น พร้อมทั้งข้อเสนอพิเศษเพื่อโน้มน้าวใจ
5. ขยายวงจรการขาย (Extend Sales Cycle)
สินค้าหรือบริการบางประเภทมีวงจรการตัดสินใจซื้อ (Sales Cycle) ที่ยาวนาน Retargeting ช่วยให้แบรนด์ยังคงอยู่ในความคิดของลูกค้าตลอดช่วงเวลาการตัดสินใจ โดยการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ เช่น บทความให้ความรู้ รีวิวจากลูกค้า หรือการเปรียบเทียบสินค้า
6. ปรับแต่งข้อความโฆษณาได้เฉพาะเจาะจง
Retargeting ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้แต่ละคนได้ เช่น ผู้ที่เคยดูสินค้าประเภท A จะเห็นโฆษณาที่เกี่ยวกับสินค้าประเภท A โดยเฉพาะ ทำให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องและน่าสนใจมากขึ้น
7. เก็บข้อมูลและเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า
การทำ Retargeting ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้า ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ว่าลูกค้าสนใจสินค้าประเภทใด ใช้เวลานานเท่าไรในการตัดสินใจซื้อ และตอบสนองต่อข้อเสนอแบบใด ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดโดยรวมได้
แพลตฟอร์ม Retargeting ยอดนิยมในปัจจุบัน
ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มและเครื่องมือหลายแบบที่ธุรกิจสามารถใช้ในการทำ Retargeting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
1. Google Ads Remarketing
Google Ads (เดิมชื่อ Google AdWords) เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีฟีเจอร์ Remarketing (คำที่ Google ใช้แทน Retargeting) ที่ทรงพลัง สามารถแสดงโฆษณาได้ทั้งบนเครือข่าย Google Display Network (GDN) ซึ่งครอบคลุมเว็บไซต์กว่า 2 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก รวมถึงบน YouTube และ Gmail
จุดเด่น:
- เครือข่ายการแสดงผลที่กว้างขวาง
- มีรูปแบบโฆษณาให้เลือกหลากหลาย
- สามารถทำ Dynamic Remarketing ที่แสดงสินค้าเฉพาะที่ผู้ใช้เคยดู
- มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ละเอียดและมีประสิทธิภาพ
2. Facebook Pixel & Facebook Ads
Facebook และ Instagram เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก Facebook Pixel ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์และแสดงโฆษณาให้พวกเขาเห็นบน Facebook, Instagram และ Audience Network
จุดเด่น:
- เข้าถึงผู้ใช้บนแพลตฟอร์มที่มีการใช้งานสูง
- ระบบการกำหนดเป้าหมายที่ละเอียด
- สามารถสร้าง Lookalike Audience เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมาย
- มีรูปแบบโฆษณาที่น่าสนใจและมีส่วนร่วมสูง
3. LinkedIn Retargeting
สำหรับธุรกิจ B2B (Business-to-Business) LinkedIn เป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพในการทำ Retargeting เนื่องจากเป็นเครือข่ายสังคมของมืออาชีพและผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กร
จุดเด่น:
- เหมาะสำหรับธุรกิจ B2B
- สามารถกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งงาน, บริษัท, อุตสาหกรรม
- มีรูปแบบโฆษณาที่เหมาะกับบริบทของมืออาชีพ
4. AdRoll
AdRoll เป็นแพลตฟอร์ม Retargeting ที่ครอบคลุมหลายช่องทาง (Cross-Channel) ซึ่งรวมเอาเครือข่ายโฆษณาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้ในหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน
จุดเด่น:
- บริหารจัดการแคมเปญ Retargeting หลายช่องทางจากที่เดียว
- มีเทคโนโลยี AI ที่ช่วยปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน
- มีรายงานและการวิเคราะห์ที่ครอบคลุม
5. Criteo
Criteo เป็นผู้ให้บริการ Retargeting ที่เน้นเฉพาะด้านนี้โดยเฉพาะ มีความเชี่ยวชาญในการทำ Dynamic Retargeting ที่แสดงสินค้าที่ผู้ใช้เคยดูพร้อมกับข้อเสนอที่เหมาะสม
จุดเด่น:
- เน้น Performance-based pricing ที่คิดค่าใช้จ่ายตามผลลัพธ์
- มีเทคโนโลยี Machine Learning ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
- เครือข่ายพันธมิตรที่กว้างขวาง
เทคนิคการทำ Retargeting ให้มีประสิทธิภาพ
การทำ Retargeting ไม่ใช่เพียงแค่การติดตั้ง Pixel และปล่อยให้ระบบทำงานเองเท่านั้น แต่ยังต้องมีการวางแผนและกลยุทธ์ที่ดี ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้การทำ Retargeting ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น:
1. แบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ละเอียด (Segmentation)
การแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะแสดงโฆษณาเดียวกันให้กับทุกคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ ธุรกิจควรแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและความสนใจ เช่น:
- ผู้ที่เข้าชมหน้าสินค้าเฉพาะ: แสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆ
- ผู้ที่ทิ้งรถเข็น: แสดงโฆษณาที่เน้นย้ำถึงสินค้าที่พวกเขาทิ้งไว้ พร้อมข้อเสนอพิเศษ
- ผู้ที่เป็นลูกค้าแล้ว: แสดงโฆษณาสินค้าที่เกี่ยวข้องหรือส่งเสริมการซื้อซ้ำ
- ผู้ที่เข้าชมบทความหรือเนื้อหา: แสดงโฆษณาที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่พวกเขาสนใจ
2. ปรับความถี่ในการแสดงโฆษณา (Frequency Capping)
การแสดงโฆษณาบ่อยเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญและเกิดทัศนคติเชิงลบต่อแบรนด์ได้ การกำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณา (Frequency Capping) จะช่วยให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะไม่เห็นโฆษณาของคุณบ่อยเกินไป โดยทั่วไปแล้ว การแสดงโฆษณา 5-7 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่าเหมาะสม
3. สร้างเนื้อหาโฆษณาที่หลากหลาย
การแสดงโฆษณาเดิมซ้ำๆ อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความเบื่อหน่ายและเพิกเฉยต่อโฆษณาของคุณ (Banner Blindness) การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่หลากหลายและมีความสร้างสรรค์จะช่วยรักษาความสนใจและความสดใหม่ ควรมีการทดสอบรูปแบบโฆษณา ข้อความ และภาพที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าสิ่งใดที่ได้ผลดีที่สุดกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
4. กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม (Duration)
การกำหนดระยะเวลาในการทำ Retargeting ให้เหมาะสมกับวงจรการตัดสินใจซื้อของสินค้าหรือบริการนั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญ สินค้าที่มีราคาถูกและการตัดสินใจซื้อง่าย (เช่น เสื้อผ้า อาหาร) อาจใช้ระยะเวลา Retargeting ที่สั้นกว่า (7-14 วัน) ในขณะที่สินค้าที่มีราคาแพงและต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน (เช่น รถยนต์ บ้าน) อาจต้องใช้ระยะเวลา Retargeting ที่นานกว่า (30-90 วัน)
5. ใช้ Burn Pixel สำหรับผู้ที่ซื้อแล้ว
การแสดงโฆษณาสินค้าที่ลูกค้าซื้อไปแล้วเป็นการสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ การใช้ Burn Pixel (หรือ Exclusion Pixel) ที่จะติดตั้งบนหน้า “ขอบคุณสำหรับการสั่งซื้อ” จะช่วยให้ระบบรู้ว่าผู้ใช้รายนั้นได้ทำการซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว และไม่จำเป็นต้องแสดงโฆษณาเดิมอีก แต่อาจเปลี่ยนเป็นการแสดงโฆษณาสินค้าที่เกี่ยวข้องแทน
6. ทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การทำ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโฆษณาแบบต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาแคมเปญ Retargeting ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทดสอบองค์ประกอบต่างๆ เช่น ข้อความโฆษณา รูปภาพ Call-to-Action และข้อเสนอพิเศษ เพื่อหาสิ่งที่ได้ผลดีที่สุด
7. ใช้ Sequential Retargeting
Sequential Retargeting คือ การแสดงโฆษณาที่มีเนื้อหาเปลี่ยนไปตามระยะเวลาที่ผ่านไปหลังจากผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น:
- วันที่ 1-3: แสดงโฆษณาที่เน้นการสร้างการรับรู้และแนะนำสินค้า
- วันที่ 4-7: แสดงโฆษณาที่เน้นคุณสมบัติและประโยชน์ของสินค้า
- วันที่ 8-14: แสดงโฆษณาที่มีข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลดเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
กลยุทธ์นี้ช่วยให้การสื่อสารมีความสอดคล้องกับขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
ความท้าทายและข้อควรระวังในการทำ Retargeting
แม้ว่า Retargeting จะเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความท้าทายและข้อควรระวังที่ธุรกิจควรตระหนักถึง:
1. ความเป็นส่วนตัวและกฎหมายคุ้มครองข้อมูล
ในปัจจุบัน มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหลายฉบับที่มีผลกระทบต่อการทำ Retargeting เช่น GDPR ในยุโรป, CCPA ในแคลิฟอร์เนีย และ PDPA ในประเทศไทย ธุรกิจจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านี้อย่างเคร่งครัด โดยต้องขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนการเก็บข้อมูล และให้ตัวเลือกในการปฏิเสธการติดตาม (Opt-out)
2. การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี Cookies
หลายเบราว์เซอร์ เช่น Safari และ Firefox ได้เริ่มบล็อก Third-party Cookies ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำ Retargeting แบบดั้งเดิม และ Google Chrome ก็มีแผนที่จะยกเลิกการสนับสนุน Third-party Cookies ในอนาคตอันใกล้ ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและหาวิธีการใหม่ๆ ในการทำ Retargeting เช่น การใช้ First-party Data และ Contextual Targeting
3. การรำคาญของผู้ใช้
การแสดงโฆษณาที่มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญและมีทัศนคติเชิงลบต่อแบรนด์ได้ การกำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณาที่เหมาะสมและการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าจะช่วยลดความรำคาญนี้ได้
4. การวัดผลที่ซับซ้อน
การวัดผลความสำเร็จของแคมเปญ Retargeting อาจมีความซับซ้อน เนื่องจากลูกค้าอาจมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านหลายช่องทางก่อนตัดสินใจซื้อ (Multi-touch Attribution) ธุรกิจควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่สามารถติดตามการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้าตลอดทั้งเส้นทางการซื้อได้
กรณีศึกษา: ความสำเร็จของ Retargeting ในธุรกิจต่างๆ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูกรณีศึกษาของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Retargeting:
กรณีศึกษาที่ 1: ร้านค้าออนไลน์ขนาดกลาง
ร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่งที่จำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นมีอัตราการทิ้งรถเข็นสูงถึง 75% และมีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำต่ำ หลังจากนำ Retargeting มาใช้ โดยเน้นการแสดงโฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดูหรือใส่ในรถเข็น พร้อมกับข้อเสนอส่วนลด 10% สำหรับการซื้อครั้งแรก ผลลัพธ์ที่ได้คือ:
- อัตราการกลับมาทำการซื้อหลังจากทิ้งรถเข็นเพิ่มขึ้น 45%
- อัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้น 28%
- ยอดขายเฉลี่ยต่อออเดอร์เพิ่มขึ้น 15%
- ROI ของแคมเปญ Retargeting อยู่ที่ 400%
กรณีศึกษาที่ 2: บริษัท B2B ที่ให้บริการซอฟต์แวร์
บริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรแห่งหนึ่งมีวงจรการขายที่ยาวนาน (3-6 เดือน) และต้องการเพิ่มจำนวนผู้ที่ลงทะเบียนทดลองใช้ซอฟต์แวร์ บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ Retargeting แบบ Sequential โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน:
- แสดงโฆษณาที่เน้นการให้ความรู้และการศึกษา (บทความ, กรณีศึกษา, อินโฟกราฟิก) แก่ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียน
- แสดงโฆษณาที่เน้นการเปรียบเทียบกับคู่แข่งและจุดเด่นของซอฟต์แวร์แก่ผู้ที่อ่านบทความหรือดูเนื้อหาที่แชร์ไป
- แสดงข้อเสนอทดลองใช้ฟรีหรือการสาธิตผลิตภัณฑ์แก่ผู้ที่มีส่วนร่วมกับเนื้อหาในขั้นที่ 2
ผลลัพธ์:
- จำนวนผู้ลงทะเบียนทดลองใช้เพิ่มขึ้น 65%
- อัตราการแปลงจากผู้ทดลองใช้เป็นลูกค้าเพิ่มขึ้น 32%
- ระยะเวลาในวงจรการขายลดลง 25%
แนวโน้มของ Retargeting ในอนาคต
เทคโนโลยีและกลยุทธ์การตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ธุรกิจที่ต้องการใช้ Retargeting อย่างมีประสิทธิภาพควรติดตามแนวโน้มและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้:
1. การเน้น First-party Data มากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายความเป็นส่วนตัวและการยกเลิก Third-party Cookies ธุรกิจจะต้องเน้นการเก็บและใช้ First-party Data (ข้อมูลที่ได้โดยตรงจากลูกค้า) มากขึ้น เช่น ข้อมูลจากการลงทะเบียน, การสมัครสมาชิก, หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์
2. การใช้ AI และ Machine Learning
เทคโนโลยี AI และ Machine Learning จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำ Retargeting มากขึ้น โดยช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้, การคาดการณ์แนวโน้มการซื้อ, และการปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคนอย่างอัตโนมัติ
3. การผสมผสานกับ Contextual Targeting
การทำ Contextual Targeting (การแสดงโฆษณาตามบริบทของเนื้อหาที่ผู้ใช้กำลังดู) จะถูกนำมาผสมผสานกับ Retargeting มากขึ้น เพื่อให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องและเหมาะสมกับผู้ใช้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cookies มากเกินไป
4. การเชื่อมโยงระหว่างออนไลน์และออฟไลน์
การทำ Retargeting จะไม่จำกัดอยู่แค่ในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่จะเชื่อมโยงกับประสบการณ์ออฟไลน์มากขึ้น เช่น การใช้ข้อมูลจากการซื้อในร้านค้าจริงมาทำ Retargeting ออนไลน์ หรือการใช้ Location-based Retargeting เพื่อแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าร้านค้าจริง
5. การให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากขึ้น โดยการเปิดเผยนโยบายการใช้ข้อมูลอย่างชัดเจน, ให้ทางเลือกแก่ผู้ใช้ในการควบคุมข้อมูลของตนเอง, และปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลอย่างเคร่งครัด
สรุป: Retargeting คือกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจยุคดิจิทัล
Retargeting เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสูง, เพิ่มอัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้า, และสร้าง ROI ที่สูงกว่าการโฆษณาทั่วไป
ด้วยการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์และแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องให้พวกเขาเห็นเมื่อท่องเว็บไซต์อื่นๆ Retargeting ช่วยให้แบรนด์ยังคงอยู่ในความคิดของลูกค้าตลอดเส้นทางการซื้อ และช่วยให้ลูกค้าที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อในครั้งแรกมีโอกาสกลับมาซื้อมากขึ้น
เอเจนซี่โฆษณาและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลแนะนำให้ธุรกิจใช้ Retargeting เนื่องจากเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขาย, ลดอัตราการทิ้งรถเข็น, สร้างการรับรู้แบรนด์, และเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่มีค่า
อย่างไรก็ตาม การทำ Retargeting ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดี, การแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียด, การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่มีคุณภาพ, และการทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธุรกิจยังต้องตระหนักถึงความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัวและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต
สำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้ Retargeting ควรเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน, เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย, ติดตั้ง Tracking Pixel ให้ถูกต้อง, และเริ่มทดลองทำแคมเปญขนาดเล็กก่อนที่จะขยายขนาดเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี
ในท้ายที่สุด Retargeting ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นศิลปะของการสื่อสารที่ถูกที่ถูกเวลา การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า และการนำเสนอข้อความที่มีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำ Retargeting ให้ประสบความสำเร็จและสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งธุรกิจและลูกค้า

เอเจนซี่ทำการตลาดออนไลน์
ที่เน้นผลลัพธ์เชิงธุรกิจ
ทุกธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์ล้วนต้องการทิศทางที่ถูกต้องและผลลัพธ์ที่แม่นยำมากที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือ เราวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่งลึกมากพอแล้วหรือยัง 99AdsAgency ใช้เครื่องมือระดับสากลที่พร้อมช่วยให้การทำดิจิตอลมาเก็ตติ้งประสบความสำเร็จมากที่สุด
รับแผนกลยุทธ์ฟรี
คลังความรู้การตลาดออนไลน์
เอเจนซี่ทำ SEO คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรใช้บริการ
ในยุคที่การค้นหาผ่าน Google กลายเป็นพฤติกรรมประจำวันของผู้คนทั่วโลก การแข่งขันเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google ไม่ใช่เรื่องหรูหราอีกต่อไป แต่เป็น “ความจำเป็น” สำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าอย่างมั่นคง หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์บรรลุเป้าหมายนั้นได้ก็คือ “การทำ SEO” หรือ Search Engine
Apr
สร้างแบรนด์ด้วย Instagram – ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างรวดเร็ว
การสร้างแบรนด์ (Branding) ในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการแข่งขันทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืนจำเป็นต้องเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมที่ไม่ควรมองข้ามคือ Instagram ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยผู้ใช้งานคุณภาพ และเป็นพื้นที่สำหรับการนำเสนอเนื้อหาเชิงภาพที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด การสร้างแบรนด์ด้วย Instagram จึงเปรียบเสมือนการสร้าง “หน้าต่างร้านค้า” ที่มีศักยภาพในการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย
Dec
เทคนิคการทำ Retargeting Ads เพื่อเพิ่มอัตราการปิดการขาย
การทำ Retargeting Ads เป็นกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยเน้นการแสดงโฆษณาซ้ำๆ กับกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณมาก่อน เนื้อหา ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Retargeting Ads Retargeting Ads คือการโฆษณาที่แสดงซ้ำกับกลุ่มผู้ชมที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ
Jan
เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ครบวงจร
เอเจนซี่การตลาดออนไลน์ครบวงจร: ผู้นำด้านการตลาดดิจิทัลที่คุณไว้วางใจได้ ในยุคที่ธุรกิจต้องปรับตัวสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็ว การมีพันธมิตรที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับบริการครบวงจรของเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณสู่ความสำเร็จในโลกดิจิทัล ทำไมธุรกิจยุคใหม่จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ การตลาดออนไลน์ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล จากสถิติล่าสุดพบว่า ผู้บริโภคกว่า 85% ค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ก่อนตัดสินใจซื้อ การไม่มีตัวตนบนโลกออนไลน์จึงหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล ความท้าทายของการทำการตลาดออนไลน์ แม้การตลาดออนไลน์จะมีความสำคัญ
Feb
5 กลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจ Food & Beverage
ในยุคดิจิทัล การตลาดออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ที่ต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและเพิ่มยอดขาย กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ กระตุ้นความสนใจ และดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ 1. สร้างจุดแข็งบนโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น
Mar
6 เคล็ดลับ เขียน Content Marketing ดึงดูดใจลูกค้า สร้างยอดขาย
Content Marketing กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจต่าง ๆ นำมาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างการรับรู้ และกระตุ้นยอดขาย บทความนี้ขอเสนอ 6 เคล็ดลับเด็ด ๆ ที่จะช่วยให้ Content Marketing ของคุณโดนใจลูกค้า
Apr
เริ่มต้นใช้งาน Shopify คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่
Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมที่ช่วยให้คุณสร้างและจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเจ้าของธุรกิจที่มีประสบการณ์ Shopify ก็มีทุกสิ่งที่คุณต้องการเพื่อเริ่มต้นใช้งานและประสบความสำเร็จ 1. สมัครบัญชี Shopify เริ่มต้นด้วยการสมัครบัญชี Shopify ฟรี คุณสามารถลองใช้แพลตฟอร์มได้ 14 วันโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อคุณพร้อมที่จะเปิดร้านค้า
Apr
Content Marketing กลยุทธ์ดึงดูดใจลูกค้า คลินิกเสริมความงาม
ในยุคดิจิทัลที่ผู้คนใช้เวลากับหน้าจอเป็นเวลานาน Content Marketing กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าและสร้างการมีส่วนร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคลินิกเสริมความงาม การทำ Content Marketing ที่ดี จะช่วยดึงดูดใจลูกค้าใหม่ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และ ultimately นำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น 1.
May
เพิ่มเนื้อหาลงในเว็บไซต์ WordPress คู่มือฉบับย่อ
WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ยอดนิยมที่ใช้สร้างเว็บไซต์หลากหลายประเภท หนึ่งในฟีเจอร์หลักของ WordPress คือความง่ายในการเพิ่มเนื้อหาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบทความ หน้าเว็บ หรือแม้แต่สินค้า คู่มือฉบับย่อนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับขั้นตอนพื้นฐานในการเพิ่มเนื้อหาลงในเว็บไซต์ WordPress 1. เข้าสู่ระบบหลังบ้าน:
Apr